อายุใกล้ 30... ทำยังไงให้หน้าไม่หย่อนคล้อย?
เผยเทรนด์ "Longevity" สวยยั่งยืน ไม่ตามกระแส | Fiora Clinic
คุณหมอเพชร – นพ.ชัยรัตน์ เสริมศิลป์ (ว.45095) แพทย์ประจำ Fiora Clinic ได้มาอธิบายปัญหาของหลาย ๆ คน "อายุจะเลข 3 แล้ว..." คำพูดที่สะท้อนความกังวลของใครหลายคน เมื่อสัญญาณแห่งวัยเริ่มปรากฏชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร่องแก้มที่ลึกขึ้น หรือใต้ตาที่เริ่มโหล ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและหย่อนคล้อย คุณหมอเพชรจะมาไขข้อข้องใจว่าความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากอะไร และเทรนด์การดูแลผิวในปัจจุบันที่เน้น "ความงามที่ยั่งยืน" (Longevity) นั้นเป็นอย่างไร
สารบัญ
สัญญาณความเปลี่ยนแปลง: ทำไมใบหน้าถึงเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่วัย 30?
คุณหมอเพชรได้อธิบายว่า รูปแบบการดูแลใบหน้าของคนไข้จะเปลี่ยนไปตามช่วงวัย
ช่วงก่อนอายุ 30:
คนไข้มักจะเข้ามาเพื่อ "เสริมให้โดดเด่น" หรือ "ลดส่วนเกิน" เช่น ปรับรูปหน้า V-Shape หรือทำให้หน้าเล็ก
ช่วงอายุ 30 ขึ้นไป:
ปัญหาจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน คนไข้จะเริ่มรู้สึกว่า "จุดเริ่มหายไป" ซึ่งหมายถึงการสูญเสียปริมาตร (Volume Loss) บนใบหน้า ทำให้เกิดปัญหาหลักๆ คือ:
ใต้ตาเริ่มโหล (Hollow Under Eyes): เกิดจากการยุบตัวของไขมันและกระดูกใต้ตา ทำให้ดูอิดโรย
ร่องแก้มเริ่มลึก (Deep Laugh Lines): เกิดจากการหย่อนคล้อยของผิวและไขมันบริเวณแก้ม
ส่วนอื่นๆ ที่เริ่ม "ขาดหาย" หรือ "ลดลง"
แนวทางการรักษาในวัยนี้จึงเปลี่ยนจากการ "ลด" ไปเป็นการ "เติมเต็มเสริมขึ้นมา" เพื่อทดแทนส่วนที่ขาดหายไป
กุญแจสำคัญ: ค้นหา "จุดที่เริ่มลดลง" ด้วยเทคนิค "5-Year Rewind"
สำหรับคนไข้ที่กังวลแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน คุณหมอเพชรได้ให้คำแนะนำไว้นั่นคือเทคนิค "5-Year Rewind"
"ลองดูรูปตัวเองในโซเชียลมีเดียเมื่อ 5 ปีก่อน... คุณอาจจะเห็นว่า 5 ปีก่อนเรายังไม่มีจุดนี้เลย (เช่น ร่องลึกใต้ตา)"
จุดที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อ 5 ปีก่อนนี่เอง คือ "จุดเริ่มต้น" ที่ดีที่สุดในการปรับรูปหน้า เพื่อ "เติมเต็ม" ส่วนที่ขาดหายไป และทำให้ใบหน้ากลับมาดูสดใสเหมือนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวตน
เทรนด์ใหม่ที่ยั่งยืนกว่า: "Longevity" ความงามที่ประคองเอกลักษณ์ของคุณ
สิ่งสำคัญที่สุดที่ Fiora Clinic เน้นย้ำ คือการก้าวข้าม "เทรนด์" ที่มาแล้วก็ไป นพ.ชัยรัตน์ แนะนำให้คนไข้หันมาสนใจแนวคิด "Longevity" (ความงามที่ยั่งยืน)
Longevity คืออะไร: คือการเลือกโปรดักต์หรือหัตถการที่ช่วย "ประคอง" เอกลักษณ์และความงามบนใบหน้าของเราไว้ให้ได้นานที่สุด
ทำไมไม่ควรตามเทรนด์: การทำตามเทรนด์ที่ฮิตเป็นช่วงๆ (เช่น เทรนด์นี้มา ก็ใส่เข้าไปเลย) อาจ "ไม่ยั่งยืนในระยะยาว" และให้ผลลัพธ์ที่ "สวยแค่แป๊บเดียว" เมื่อเทรนด์เปลี่ยนไป สิ่งที่ทำมาก็อาจจะไม่เข้ากับใบหน้าอีกต่อไป
การรักษาในแนวทาง Longevity คือการปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนปรับรูปหน้า โดยเน้นการคงความเป็นตัวเองไว้ให้ได้นานที่สุด ซึ่งเป็นแนวทางที่ยั่งยืนและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติมากกว่า
Fiora Clinic โดย นพ.ชัยรัตน์ เสริมศิลป์ แนะนำ Longevity!!
เมื่ออายุเข้าสู่วัย 30 ปี ปัญหาหลักคือการ "สูญเสียปริมาตร" ทำให้ใต้ตาโหลและร่องแก้มลึก วิธีแก้คือการ "เติมเต็ม" โดยใช้เทคนิค "5-Year Rewind" (เทียบรูปถ่าย 5 ปีก่อน) เพื่อหาจุดที่ต้องแก้ไข พร้อมแนะเทรนด์ "Longevity" คือการเลือกหัตถการที่ช่วยประคองเอกลักษณ์ใบหน้าไว้ให้ได้นานที่สุด แทนที่จะตามเทรนด์ที่ "สวยแค่แป๊บเดียว" ซึ่งไม่ยั่งยืน
FAQ คำถามที่มักพบบ่อย
เพราะร่างกายเริ่ม “สูญเสียปริมาตร” (Volume Loss) หรือ “จุดที่เริ่มหายไป” ทำให้เกิดปัญหาหลักๆ คือ ใต้ตาเริ่มโหลลึก และร่องแก้มเริ่มชัดขึ้น ซึ่งต่างจากช่วงก่อน 30 ที่มักกังวลเรื่องขนาดใบหน้า
ควรเน้นการ “เติมเต็มเสริมขึ้นมา” ในจุดที่เริ่มขาดหายหรือลดลงไป เช่น การใช้ฟิลเลอร์เติมเต็มใต้ตา หรือร่องแก้ม เพื่อทดแทนปริมาตรที่สูญเสียไป ทำให้ใบหน้ากลับมาดูสดใสขึ้น
Longevity คือเทรนด์การดูแลความงามที่เน้น “ความยั่งยืนในระยะยาว” โดยมีเป้าหมายเพื่อ “ประคอง” เอกลักษณ์ความงามเดิมของใบหน้าไว้ให้นานที่สุด แทนที่จะวิ่งตามเทรนด์แฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ที่ “สวยแค่แป๊บเดียว”
แนะนำเทคนิค “5-Year Rewind” คือการลองเปิดรูปถ่ายของตัวเองเมื่อ 5 ปีก่อนในโซเชียลมีเดีย เพื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน และมองหา “จุดที่เริ่มลดลง” หรือ “จุดที่ 5 ปีก่อนยังไม่มี” จุดนั้นคือจุดที่ควรเริ่มต้นเติมเต็มเพื่อคืนความอ่อนเยาว์
เพราะเทรนด์ความงามมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การทำตามเทรนด์อาจ “ไม่ยั่งยืนในระยะยาว” และทำให้สูญเสียเอกลักษณ์ของตัวเอง การรักษาในแนวทาง “Longevity” ที่เน้นการประคองใบหน้าเดิมไว้ จะให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและสวยได้นานกว่าครับ